กลับหน้าแรกของคอร์ส

# Excel - Data Analysis

การทำ Data Analysis ด้วย Excel

ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบการเรียนได้ที่นี่ - What-If Analysis

ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบการเรียนได้ที่นี่ - Solver/Analysis Toolpak

# What-If Analysis

ตัว Excel เองนั้นสนับสนุนการทำ Data Analysis ผ่านการใช้ Formulas และ Functions ต่าง ๆ โดยเชื่อมโยงการผ่านการทำ Referencing หรือจะเรียกอีกแบบว่า Dynamic Model ก็ได้ เพราะหากเรามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใด ๆ ข้อมูล หรือสูตรคำนวณอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกันก็จะอัพเดตไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์นี้เอง นำไปสู่การทำ What-If Analysis ซึ่งเป็นการตั้งคำถามวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น

  • จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดอกเบี้ยเงินกู้เปลี่ยนเป็น 7.5%
  • อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราขึ้นราคาสินค้าอีก 5%

ตัวอย่างจากภาพด้านล่าง ข้อมูลการกู้ยืมเงินแบบจดจำนองสินทรัพย์ โดยข้อมูลนำเข้ามี ราคา เงินดาวน์ งวดผ่อน และดอกเบี้ย และผลการคำนวณจะได้เป็น ยอดเงินกู้ ยอดชำระรายเดือน รวมเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมด และรวมดอกเบี้ย

Mortgage Loan

จากตัวอย่างนี้ เราอาจจะทำ What-If Analysis แบบง่าย ๆ โดยตั้งคำถามดังต่อไปนี้

  • จะเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถต่อรองราคาในการซื้อสินทรัพย์ให้ลดลงได้อีก
  • จะเป็นอย่างไร ถ้าผู้ให้กู้ต้องการเงินดาวน์ถึง 20%
  • จะเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถผ่อนชำระได้ถึง 40 ปี
  • จะเป็นอย่างไร ถ้าดอกเบี้ยขึ้นไปถึง 5.5%

โดยเราสามารถที่จะปรับแก้ไขค่าในเซลล์ C4:C7 แล้วดูผลการเปลี่ยนแปลงใน Result Cells

# Types of What-If Analyses

การทำ What-If Analyses นั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • แบบ Manual คือการทำ What-If analysis แบบใช้สูตรผูกกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ แล้วก็เชื่อมกันผ่าน Cell Referencing ที่เราทำการมาในบทเรียนก่อน ๆ
  • แบบ Data tables คือการสร้างตารางแบบพิเศษมาเพื่อแสดงผลการคำนวณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น ตารางคำนวณอัตราผ่อนชำระค่างวด โดยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่างวด กับอัตราดอกเบี้ยและจำนวนระยะเวลาที่ผ่อนชำระ
  • แบบ Scenario Manager คือการสร้างสถานการณ์จำลองในรูปแบบ outlines หรือ PivotTables.
  • แบบ Goal Seek คือ การปรับ Input เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายที่เราต้องการ

# ตัวอย่าง What-If Analysis: Data table

จากตัวอย่างการกู้ยืมเงินแบบจดจำนองสินทรัพย์ เราสามารถทำ What-If Analysis แบบ Data table ได้โดยการ สร้างตารางบนพื้นที่ E2:I12 โดยให้ Interest rate นั้นเพิ่มขึ้นทีละ .25 และให้คอลัมน์ F:I แสดงผลการคำนวณตามแบบใน Result Cells

What-If Analysis: Data table

เราสามารถทำ What-If Analysis: Data table โดยการเลือกช่วงเซลล์ที่ต้องการสร้าง Data table ในกรณีนี้คือ E3:I12 แล้วไปที่ Ribbon => Data => What-if Analyis => Data Table จากนั้น เลือก C7 ซึ่งเป็นค่า Interest rate ให้เป็น Column input cell ดังภาพ

What-If Analysis: Data table

หลังจากกด OK เราก็จะได้ค่าผลลัพธ์ที่คำนวณตามอัตราดอกเบี้ยจากคอลัมน์ E ดังภาพ

What-If Analysis: Data table

จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการทำ What-If Analysis จาก Input เดียว ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างแบบ 2 Inputs กันบ้าง โดยตัวอย่างนี้ เป็นการคำนวณต้นทุน และกำไรสุทธิในการโปรโมชั่นผ่านจดหมาย ซึ่งจะใช้ตัวแปรสองตัวก็คือ จำนวนจดหมาย และอัตราการตอบกลับ ซึ่งการทำ What-If Analysis จะสร้างตารางวิเคราะห์กำไรสุทธิในช่วงเซลล์ E4:M14 โปรดสังเกตที่เซลล์ E4 นั้นได้มีการทำ Reference ไปยัง Net Profit

What-If Analysis: Data table

เราสามารถทำ What-If Analysis: Data table โดยการเลือกช่วงเซลล์ที่ต้องการสร้าง Data table ในกรณีนี้คือ E4:M14 แล้วไปที่ Ribbon => Data => What-if Analyis => Data Table จากนั้น เลือก B5 ซึ่งเป็นค่า Respone rate ให้เป็น Row input cell และ B4 ซึ่งเป็นค่า Number mailed ให้เป็น Column input cell ดังภาพ

What-If Analysis: Data table

หลังจากกด OK เราก็จะได้ค่า Net Profit ที่คำนวณตาม E4 แต่ใช้ข้อมูล Number mailed และ Response reate จาก Data table เป็น 2 inputs ในการคำนวณ ดังภาพ

What-If Analysis: Data table

# ตัวอย่าง What-If Analysis: Scenario Manager

เนื่องจาก Data table นั้นมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวน input ที่มีได้แค่สองตัว Scenario Manager นั้นสามารถใส่ Input ได้มากตามจำนวน Scenario ที่มี ดูจากตัวอย่างด้านล่าง จะเป็นการคำนวณต้นทุนและกำไรของการผลิตสินค้า A, B และ C โดยมี input คือ ค่าแรงรายชั่วโมง และต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งมีค่าแปรผันไปตาม scenario 3 แบบ คือ Best case, Worst case และ Most likely

What-If Analysis: Scenario Manager

ในการใช้ Scenario Manager มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • สร้าง Scenario โดยไปที่ Ribbon => Data => What-if Analyis => Scenario Manager แล้วจะปรากฏหน้าต่างดังภาพ

What-If Analysis: Scenario Manager

  • จากนั้นให้กด + เพื่อเพิ่ม Scenario โดยให้ใส่ Scenario name และกำหนด Changin cells เป็น B2:B3 ตามภาพ

What-If Analysis: Scenario Manager

  • ขั้นตอนถัดไป คือการกำหนดค่าตาม Scenario ซึ่งในกรณี Best Case คือ Hourly Cost = 30 และ Material Cost = 57

What-If Analysis: Scenario Manager

  • ใส่ Scenario จนครบตามภาพ

What-If Analysis: Scenario Manager

  • จากนั้นกด Summary... เพื่อทำการวิเคราะห์

What-If Analysis: Scenario Manager

  • หากเลือก Scenario summary ก็จะได้ผลตามภาพ

What-If Analysis: Scenario Manager

# ตัวอย่าง What-If Analysis: Goal Seek

ในการคำนวณการผ่อนชำระเงินกู้ ที่ใช้ในตัวอย่างก่อนหน้าจะเป็นการวิเคราะห์แบบไปข้างหน้า Forward แต่หากเราอยากจะกลับคำนวณย้อนกลับ Reverse เช่น เราอยากระบุว่าเราต้องการชำระเงินงวดละไม่เกิน $1,800 ก็สามารถทำได้ โดยใช้ Goal Seek โดยมีขั้นตอน ดังนี้

  • ไปที่ Ribbon => Data => What-if Analyis => Goal Seek และกำหนดค่า Set cell เป็น C11 Monthly Payment ใส่ค่า To value เป็น 1800 ในกรณีนี้เราจะกำหนดให้ปรับเปลี่ยนที่ Purchase Price โดยกำหนด By changing cell เป็น C4 ดังภาพ

What-If Analysis: Goal Seek

  • เมื่อวิเคราะห์เสร็จ จะเห็นว่า Purchase Price ถูกเปลี่ยนจาก $385,500 เป็น $362,185 ดังภาพ

What-If Analysis: Goal Seek

# Solver

ในการทำ What-If Analysis ด้วย Goal Seek นั้นมีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถกำหนดการปรับเปลี่ยนค่าในหลาย ๆ เซลล์ได้ หรืออาจจะถึงขั้นวิเคราะห์ย้อนกลับแบบหลาย ๆ Scenarios ซึ่ง Solver เป็นฟีเจอร์ของ Excel ที่เข้ามาตอบโจทย์นี้ โดย Solver สามารถที่จะ

  • กำหนดให้ปรับค่าได้หลาย ๆ เซลล์
  • กำหนดเงื่อนไขให้ค่าที่จะปรับในแต่ละเซลล์ได้
  • หา solution ได้ทั้งแบบ maximise และ minimise
  • หาคำตอบได้หลายทางเลือกให้คำโจทย์ที่ต้องการจะแก้

อย่างไรก็ตาม Solver นั้นยังทำงานไม่สมบูรณ์ใน Excel เวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Windows

ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบการเรียนได้ที่นี่ - Solver/Analysis Toolpak

# ตัวอย่าง Solver - Three Products

ตัวอย่างนี้จะแสดงการคำนวณกำไรจากผลิตภัณฑ์สามตัว ซึ่งมีจำนวนหน่วย กำไรต่อหน่วย และกำไรต่อผลิตภัณฑ์ (คำนวณจากการเอาจำนวนหน่วย x กำไรต่อหน่วย) ดังภาพ

Data Analysis: Solver

หากมองดูผิวเผินก็จะเห็นว่า Product C นั้นทำกำไรสูงสูด แต่ในสถานการณ์จริงนั้น จะมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่มาเป็นตัวกำหนดในการผลิต ดังนี้

  • จำนวนการผลิตทั้งหมดต้องเป็น 300 หน่วย
  • มีความต้องการ Product A จำนวน 50 หน่วย จากยอดสั่งซื้อเดิม
  • มีความต้องการ Product B จำนวน 40 หน่วย จากการคาดการณ์
  • เนื่องจาก Demands ไม่มากจึงควรผลิต Product C ไม่เกิน 40 หน่วย

จากเงื่อนไขข้างต้น เราสามารถใช้ Solver ในการคำนวณหาหน่วยการผลิตได้ ดังนี้

  • ไปที่ Ribbon => Data => Solver

Data Analysis: Solver

  • จากนั้นให้ทำการกำหนดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ให้ Solver ดังนี้
    • กำหนดเป้าหมายที่ Set Objective ในที่นี้คือ Total Profit ที่ D6
    • โดยกำหนดให้ To เป็น Max ซึ่งก็คือกำไรสูงสุด
    • กำหนดให้ Changing Variable Cells เป็น B3:B5 ซึ่งก็คือ จำนวนสินค้าที่จะผลิต
    • จากนั้นกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ
      • Product A : B3 >= 50
      • Product B : B4 >= 40
      • Product C : B5 <= 40
      • Total Product : B6 <= 300
    • เลือก Solving Method เป็น Simplex LP

Data Analysis: Solver

  • จากนั้นกด Solve แล้ว Solver ก็จะทำการคำนวณ จำนวนการผลิตที่ให้ได้กำไรสูงสุด ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนด ได้ผลดังภาพ

Data Analysis: Solver

# ตัวอย่าง Solver - Investment Portfolio (Excel for Windows only)

ตัวอย่างถัดมา เป็นการจัดการ portfolio การลงทุนอย่างง่าย ๆ โดยมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

  • การลงทุนใน New car loans ต้องเป็น 3 เท่าของ Used car loans
  • การลงทุนใน Car loans ทั้งสองแบบต้องมากกว่า 15% ของทั้งพอร์ต
  • Unsecured loans ไม่ควรเกิน 25% ของ Portfolio
  • อย่างน้อย 10% ของ Portfolio ควรเป็นการลงทุนใน Bank CDs
  • ยอดเงินลงทุนทั้งหมดคือ $5,000,000
  • การลงทุนทั้งหมดควรจะได้ผลตอบแทนในแดนบวก หรือเท่าทุน

Data Analysis: Solver

  • จากนั้นให้ทำการกำหนดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ให้ Solver ดังนี้
    • กำหนดเป้าหมายที่ Set Objective ในที่นี้คือ Total Yeild ที่ D12
    • โดยกำหนดให้ To เป็น Max ซึ่งก็คือกำไรสูงสุด
    • กำหนดให้ Changing Variable Cells เป็น C5:C9 ซึ่งก็คือ จำนวนเงินลงทุน
    • จากนั้นกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ
      • ยอดรวมเงินลงทุน : C10 = B1
      • การลงทุนใน New car loans : C5 >= C6*3
      • เงินลงทุนใน Auto Loan : D14 >= 0.15
      • เงินลงทุนใน Unsecured Loan : E8 <= 0.25
      • เงินลงทุนใน Bank CDs : E9 >= 0.1
    • เลือก Make Unconstrained Variables Non-Negative
    • เลือก Solving Method เป็น GRG Nonlinear

Data Analysis: Solver

  • จากนั้นกด Solve แล้ว Solver ก็จะทำการคำนวณ % Total Yeild สูงสุด ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนด ได้ผลดังภาพ

Data Analysis: Solver

หมายเหตุ ตัวอย่างนี้ไม่สามารถใช้กับ Excel for Mac ได้

# Analysis Toolpak

Analysis Toolpak เป็นส่วนเสริมของ Excel ที่ช่วยในการวิเคราะห์เชิง Scientific, Engineering, Statistics ซึ่งถือเป็นการวิเคราะห์ในขั้นสูง และต้องการพื้นฐานความรู้ในเชิงทฤษฎี จึงจะสามารถใช้งานได้ ส่วนการใช้งาน Analysis Toolpak ในบางกรณีอาจจะต้องทำการติดตั้งเพิ่มเติม ซึ่งสามารถหาวิธีติดตั้งได้จากอินเตอร์เน็ต

ในบทเรียนนี้จะเป็นการแนะนำการใช้งาน Analysis Toolpak อย่างง่าย ๆ

# ตัวอย่าง Analysis Toolpak

ข้อมูลดังภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างคะแนนของ นักเรียนสองกลุ่ม โดยเราสามารถทำการวิเคราะห์ Descriptive Statistics โดยการไปที่ Data => Data Analysis

Data Analysis: ATP

เมื่อเลือก Descriptive Statistics แล้วจะต้องกรอก Input ดังนี้

  • Input Range: A1:B10
  • เลือก Labels in first row
  • เลือก Output Rage: D1
  • เลือก Summary statistics

Data Analysis: ATP

เมื่อกด OK แล้วจะได้ตาราง Descriptive Statistics ดังภาพ

Data Analysis: ATP

ถัดไปจะเป็นการทดสอบความแปรปรวน F-Test ของนักเรียนทั้งสองกลุ่ม เพื่อวิเคราะห์ว่า ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกัน ในเชิงสถิติหรือไม่ โดยเลือก F-Test Two-Sample for Variances ดังภาพ

Data Analysis: ATP

จากนั้นกำหนด Input ของ F-Test ดังนี้

  • Variable 1 Range: A1:A10
  • Variable 2 Range: B1:B10
  • เลือก Label
  • Alpha: 0.05
  • Output Range: D1

Data Analysis: ATP

เมื่อกด OK แล้วก็จะได้ผลการวิเคราะห์ F-Test ดังภาพ โดยในกรณีนี้ สามารถสรุปได้ว่า ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันในทางสถิติ โดยดูจากค่า P ในเซลล์ E9 ที่มีค่าน้อยกว่า 0.05

Data Analysis: ATP

# วิดีโอสำหรับเรียนย้อนหลัง

# Clip: What-If Analysis

# Clip: Solver / Analysis Toolpak

# เอกสารอ้างอิง

  • [1] Alexander, M., Kusleika, R. and Walkenbach, J. (2019), Excel 2019 Bible, John Wiley & Sons, Indianapolis, IN.
  • [2] Data (opens new window)